◎อันดับ๑สายมหาเสน่ห์สาลิกาจับปากโลงวิชาอาถรรพ์◎

◎อาถรรพ์วิชาสาลิกาจับปากโลง◎

◎หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ◎

เรื่องราวต่อไปนี้ข้าพเจ้าได้ฟังจากคำบอกเล่าของ คุณพ่อต่อลาภ ไทรประสิทธิ์ธาร เป็นอดีตนายตำรวจ (จ.ส.ต.ต่อลาภ) เป็นตาของข้าพเจ้าขณะเล่าเรื่องนี้ อายุ ๙๐ ปีเศษ (พ.ศ. ๒๕๕๐) ท่านเคยยิงกับเสือผาด ทับสายทอง ยิงระยะประชิดขณะเสือผาดพายเรือมา ส่วนตัวท่านนอนซุ่มรอในกองฟางริมคลอง เวลานั้นท่านเล่าว่าอยู่กับเพื่อ ๒ ฅน มาซุ่มดูเพราะข่าวแจ้งว่าเสือผาดมา ตำรวจกระจายกำลังซุ่มอยู่หลายจุด ตาเล่าว่าเสือผาดศีรษะเถิกหน้าผากกว้าง อายุเข้าวัยกลางฅนเป็นเสืออายุมากมีอาคมดี ที่เอวแขวนตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม และหลวงพ่อวงศ์ วัดทุ่งผักกูด ของขลังในตัวมีหลายอย่างเป็นศิษย์หลายครู ผู้ฅนนับถือเรียกว่า คุณพระผาด

ตุณตาเล่าว่าเพื่อนท่านใจร้อนอยากมีผลงาน แกมั่นใจว่าตัวเองยิงปืนแม่น ห้ามไม่เชื่อได้ใช้ปืนยาวยิงเสือผาด ปรากฏว่ายิงไม่ออกเสียงนกสับแต่ลูกไม่แตก ทั้งปืนยาวของเพื่อนและปืนสั้นของคุณตา ปืน ๒ กระบอกยิงไม่ออกเลยแปลกมาก คุณตาเล่าว่าท่านต้องมุดกองฟางหนี เพราะเสือผาดยิ่งโต้กลับมาชุดใหญ่ ขนาดกอกล้วยที่อยู่ใกล้ ๆ ขาดกระจุยเลย

ในวัยหนุ่มคุณตาชอบเที่ยวเสาะหาอาจารย์ดี เป็นฅนอำเภอดำเนินสะดวก บ้านอยู่ใกล้วัดคูหาสวรรค์ ยุคก่อนปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ ในพื้นที่ยังมีอยู่หลายรูป คุณตาไปกราบมาครบหมดทั่วพื้นที่ของท่าน ส่วนตัวท่านชอบของขลังแต่ไม่ได้เรียนอาคม เพื่อนฝูงคุณตาหลายฅนเรียนอาคม ได้ชักชวนท่านไปขอของดีตามประสาฅนหนุ่มชอบทางขลังขมังเวทย์ เพื่อนคุณตามีอยู่ฅนหนึ่งเล่าว่าชื่อ นายประสิทธิ์ เพื่อน ๆ เรียก ไอ้สิทธิ์ แหม่ดีที่ยังสะกดออกเสียงถูก หากพูดเร็ว ๆ ออกเสียงสั้น ๆ ละยุ่งเลย นายสิทธิ์เป็นฅนบ้านแพงพวย จังหวัดราชบุรี นายสิทธิ์เขานับถือพระครูไพโรจน์มันตาคม หรือ หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ฅนสมัยก่อนเรียก วัดท่าควาย ได้เรียนอาคมและของดีไว้อย่างหนึ่ง คือ สาลิกาจับปากโลง ดีเลิศทางเมตตามหาเสน่ห์อย่างเอกอุ

สาลิกาจับปากโลงวิชาอาถรรพ์ทางมหาเสน่ห์

จากคำบอกเล่าของคุณตาต่อลาภ ไทรประสิทธิ์ธาร เล่าไว้น่าสนใจดังนี้ว่า ราวปี พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลานั้นท่านพึ่งบรรจุเป็นตำรวจ วันหนึ่งนายสิทธิ์มาเยี่ยมได้พูดชักชวนให้ไปกราบ หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ เวลานั้นคุณตาเพียงแต่เคยได้ยินชื่อ ไม่รู้ว่าหลวงพ่อรุ่งท่านเก่งอย่างไร เพราะในถิ่นบ้านก็มีอาจารย์เก่งอยู่มาก นายสิทธิ์เคยชวนหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่ทุกคราวคุณตาเพียงรับฟังไม่ตื่นเต้นสนใจ นายสิทธิ์คงนึกขัดใจจึงแสดงฤทธิ์ให้คุณตาดูในวันนั้น นายสิทธิ์จูงมือคุณตามายืนทีกอไผ่ข้างบ้าน แกหันมาพูดว่า ไอ้เช้ง กูขอไผ่มึงลำหนึ่งนะ คุณตามีชื่อเล่นว่าเช้งเพราะเป็นลูกจีน

คุณตาได้ตอบอนุญาตนายสิทธิ์แบบ งง งง ในใจคิดว่าเพื่อนเรามันเล่นอะไร ? นายสิทธิ์ยืนท่องคาถาพึมพำครู่หนึ่ง แล้วขยับเข้าไปยืนชิดกอไผ่แล้วยืนยิ้ม น่าแปลกเหมือนเล่นกลต้นไผ่ต้นหนึ่งเกิดเสียงลั่นดัง เปรี๊ยะ!! พร้อมลำต้นที่แตกเป็นทางจากโคนจรดปลาย

ยังไม่พอนายสิทธิแกหันมาขอกระจกเงาสักบาน สมัยนั้นกระจกเงาเป็นแบบมีด้ามจับถือส่องหน้า คุณตาอยากเห็นฤทธิ์จึงขึ้นเรือนไปหยิบกระจากเงา นายสิทธิ์รับกระจกเงาได้ก็นั่งลงภาวนาพึมพำอีกครั้ง ทีนี้แกยิ้มหวานให้กระจกเงาที่ส่องหน้าอยู่ เปรี๊ยะ !! เปรี๊ยะ !! เสียงกระจกเงาลั่นดังชัดเจนหลายครั้งซ้ำ ๆ กัน กระจกเงาร้าวทั้งบานใช้การไม่ได้อีกต่อไป คุณตาสนใจทันทีถามว่ามีวิชานี้มันดีอย่างไร นายสิทธิ์ว่า วิชาสาลิกาจับปากโลงของหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ ท่านประสิทธิ์ลงให้ที่ฟันซี่หน้าทั้งสี่ซี่ วิชานี้กว่าจะได้มาไม่ใช่ง่ายต้องผจญความกลัวภูตผีถึง ๗ ราตรีจึงจะได้มา นายสิทธิ์เล่าที่มาและพิธีกรรมของวิชาไว้ดังนี้

การลงฟันแบบสาลิกาจับปากโลงมีสองแบบ ชนิดแรกใช้ทองคำมาลงแล้วนำไปครอบแบบ ฟันทอง โดยใช้ฟันทองจากฅนตายมาผสมหล่อหลอม ส่วนขอหลวงพ่อรุ่งท่านทำพิธีกรรมในป่าช้า โดยให้จัดหาเครื่องสังเวยเป็นอาหารคาวหวานไปวางที่ฝาโลง โลงนั้นเป็นโลงเปล่า ๆ นำไปตั้งไว้กลางแจ้ง ให้ผู้รับวิชานอนภาวนาคาถา หัวใจสาลิกา ในโลงผี ปิดฝาโลงแง้มไว้หน่อยหนึ่งพอหายใจได้ มีสายสิญจน์ผูกโยงจากโล่งมายังหลวงพ่อรุ่งที่ภาวนาอยู่บนกุฏิ เริ่มลงไปนอนภาวนาในโลงช่วงค่อนฟ้าสางจนรุ่ง ราวตี ๒ -๖ โมงเช้า ทำเช่นนี้ไปจนกว่ามีนกกามาจับที่ฝาโลงกินเครื่องเซ่น ฅนใดนอนภาวนา ๗ วันแล้วยังไม่มีนกกามากินเครื่องเซ่นถือว่าไร้วาสนา ไม่สามารถลงฟันตามตำราได้ บางฅนนอนภาวนาเพียง ๑ – ๒ คืนก็มี นายสิทธิ์ว่าแกนอนอยู่ ๗ คืนจะถอดใจแล้ว มาได้เอาวันสุดท้ายแกดีใจมาก แกเล่าเสริมว่าช่วงที่นอน ๓ คืนแรกมีเสียงฅนเดินเท้าหนัก ๆ เดินวนรอบโลง แกกลัวมากเหงื่อไหลโทรมกายแต่ข่มใจฝืน ภายหลังหลวงพ่อรุ่งท่านว่าเป็นเจ้าป่าช้า ที่น่าแปลกหลวงพ่อรุ่งนั่งบนกุฏิแต่ท่านรู้ทุกอย่างตลอดพิธี

เมื่อผ่านการนอนในโลงแล้วท่านจะใช้เหล็กจาร เขียนอักขระลงที่ฟันหน้าทั้งบนล่าง แล้วให้คาถาปลุกมาสั้น ๆ แล้วให้ลองยิ้มใส่ต้นไผ่เห็นแตกทั้งลำ

วิชานี้มีข้อห้ามดังนี้

๑ เมื่อเห็นฝนฟ้าคะนองตั้งเค้ามาให้หาที่กำบัง ห้ามเดินกลางแจ้งเด็ดขาดเพราะเมื่อฟ้าผ่าลงดิน จะมีอาถรรพ์กับผู้ลงฟันไว้ทำให้ฟันที่ลงแตกของเสื่อม ต้องเข้าใต้ร่มมีที่ปรกคลุมคุ้มศีรษะจะไม่เป็นอะไร

๒ ห้ามบอกรักฅนในบ้านไม่ว่า พี่ – น้อง – ญาติ หรือใครที่รู้จักห้ามพูดเด็ดขาด หากเผลอพูดกลางคืนญาติเข้าหาถึงตัวเลย ต้องนำตัวไปให้หลวงพ่อท่านอาบน้ำมนต์แก้ไข เว้นแม่ผู้ให้กำเนิดพูดได้ไม่เป็นไร หรือผู้ที่เราหมายปองมีจิตเสน่ห์หาพูดได้ แต่เมื่อสมหวังแล้วต้องรับเลี้ยงดูห้ามทิ้งขว้าง

๓ ห้ามพูดคำหยาบคาย ด่าพ่อ ล่อแม่ คำพรุสวาท ทุกชนิดห้ามเด็ดขาด เผลอหลุดปากฟันแตกทันที

๔ ห้ามด่าว่า ฟ้าฝน, ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ถือเป็นผู้มีคุณหล่อเลี้ยงชีวิต

๕ ห้ามถ่มน้ำลายลงโถส้วม, พื้นดิน, แม่น้ำลำคลอง หากจะถ่มน้ำลายให้เด็ดใบไม้ หรือหากระดาษมาลองน้ำลายก่อน

ข้าพเจ้าถามคุณตาต่อลาภว่าตกลงได้ลงฟันจากหลวงพ่อรุ่งหรือไหม ท่านตอบว่า

กูจะไปลงอะไร เห็นข้อห้ามแล้วทำไม่ได้ เรามันฅนปากไวด่าพวกประจำ ได้ไปก็ถือไม่ได้ป่วยการเปล่า แถมต้องนอนในโลงผีอีก กูไม่ถูกโรคกันเลยกับผี ทางที่ดีกูนอนอยู่บ้านสบายกว่า พูดจบก็หัวเราะชอบใจ

ต่อมาทราบว่านายสิทธิ์มีเมียหลายสิบฅน ภายหลังเลี้ยงไม่ไหวหมดปัญญา นี่ละหนาโบราณว่า ไม่มีรักก็เป็นทุกข์ มีรักมากมันก็ยิ่งทุกข์หนัก มนุษย์เรานี้ให้ดีสะกดคำว่า .. พอ .. ให้ได้ ทำให้จริงไม่มีอะไรยาก สุดท้ายนายสิทธิ์กราบขอหลวงพ่อรุ่ง ขอให้ถอนอาคมออกจากตัว ต่อนั้นมาหลวงพ่อรุ่งท่านไม่เคยลงวิชาสาลิกาจับปากโลงให้ใครอีกเลย เข้าใจว่าท่านคงละทิ้งและเบื่อหน่ายความไม่พอดีของมนุษย์

◎อันดับ๑สายมหาเสน่ห์สาลิกาจับปากโลงวิชาอาถรรพ์◎ ◎อันดับ๑สายมหาเสน่ห์สาลิกาจับปากโลงวิชาอาถรรพ์◎ on 05:55 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.